House or a building is a highly intricate matter that requires careful attention to detail. Designing a structure to meet the needs, thoughts, lifestyles, preferences, and personal tastes of the Owners must be done with clear and thorough consideration. Thus, it is necessary to have experts to oversee and take responsibility for this matter to help identify issues and create the best possible solution. This is the reason for choosing an architect. 

The responsibilities tasks of an architect include:

1. Designing the functional and open spaces of the building to suit various uses, both in overall concept and detail, considering primarily the needs and conveniences.

2. Considering the aesthetics, viewpoints, beauty, ambiance, and emotional aspects of the Owners. 

3. Checking various building regulations and regulations for each type of construction, checking land types, land distances, construction regulations, and specific laws in each area to ensure accuracy. 

4. Architects act as language translators, translating the needs and thoughts of the project owners into three–dimensional images and construction drawings to communicate with builders, ensuring that the work closely matches the requirements. 

Coordinating with project owners, builders, and engineers to ensure that construction work follows the design as closely as possible and anticipates and mitigates potential issues in advance to prevent future problems.

เนื่องจากการสร้างบ้านหรืออาคารนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก การออกแบบอาคารให้ตอบโจทย์การใช้งาน ความคิด ความเป็นอยู่ รสนิยม รวมไปถึงความชอบส่วนตัวนั้น ต้องกลั่นกรองมาอย่างชัดเจน ถี่ถ้วนและตรงกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้งานอย่างจริงแท้ จึงควรจะมีผู้เชียวชาญเข้ามาดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ เพื่อช่วยให้มองเห็นถึงปัญหาและสรรสร้างสิ่งที่ดีที่สุดออกมา จึงเป็นเหตุผลของการเลือกใช้สถาปนิก

หน้าที่รับผิดชอบและการทำงานของสถาปนิก ประกอบด้วย

1. การออกแบบพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่ว่างของตัวอาคารให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละรูปแบบทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด โดยต้องคำนึงถึงความต้องการและความสะดวกสบายเป็นหลัก

2. การคำนึงถึงภาพลักษณ์ มุมมอง ความสวยงามและบรรยากาศ รวมไปถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้งาน

3. การตรวจสอบเรื่องกฎข้อบังคับต่างๆ ของการสร้างอาคารในแต่ละประเภท เช็คประเภทของที่ดิน ระยะที่ดิน รวมไปถึงข้อบังคับในการก่อสร้างอาคาร และกฎหมายเฉพาะในแต่ละพื้นที่ให้ถูกต้อง

4. สถาปนิกมีหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องแปลภาษา ที่แปลงความต้องการและความคิดของเจ้าของโครงการ มาสู่ภาพสามมิติไปจนถึงแบบก่อสร้าง เพื่อนำไปสื่อสารกับผู้สร้าง ให้เกิดงานที่ได้ใกล้เคียงความต้องการมากที่สุด

5. การดูแลประสานงานกับเจ้าของโครงการ ผู้สร้างและวิศวกร ให้งานก่อสร้างนั้นตรงไปตามแบบมากที่สุดและคำนึงถึงปัญหาล่วงหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันและยับยั้งไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

It is necessary for the safety of residents themselves and the surrounding community because various laws are enacted to protect against dangers from all types of constructions. Therefore, bamboo buildings are also classified as buildings that must consider the surrounding context, including the strength of the structure, distance from the road, distance from surrounding communities, etc., to prevent new constructions from impacting the existing living conditions of the surrounding community. 

จำเป็น เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยเองและชุมชนรอบข้าง เพราะกฎหมายต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้น ก็เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งปลูกสร้างทุกรูปแบบ ดังนั้น อาคารไผ่ก็จัดอยู่ในประเภทอาคารที่ต้องคำนึงถึงบริบทรอบข้างด้วย  รวมไปถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ระยะร่นจากถนน ระยะห่างจากชุมชนรอบข้าง ฯลฯ เพื่อไม่ให้สิ่งปลูกสร้างเกิดใหม่กระทบกับการอยู่อาศัยเดิมของชุมชนรอบข้าง 

Bamboo is the plant with the most limitations when facing sunlight and rain compared to other types of construction wood or other hardwoods. This is because of the hollow nature of bamboo, which allows it to expand and contract with weather conditions such as sunlight, wind, and rain, potentially causing damage to the bamboo. However, using bamboo as a construction material requires appropriate design and various techniques to minimize the limitations regarding sunlight and rain as much as possible.

ไผ่เป็นพืชที่มีข้อจำกัดในการเผชิญกับแดดและฝนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับไม้สำหรับการก่อสร้างหรือไม้เนื้อแข็งชนิดอื่น เนื่องจากลักษณะของไผ่ที่เป็นข้อปล้องกลวงข้างใน การขยายและการหดตัวจากสภาพอากาศ แดด ลม ฝน จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างความเสียหายให้กับไผ่ได้ แต่ทั้งนี้การใช้ไผ่เพื่อเป็นวัสดุในการก่อสร้างนั้นต้องอาศัยการออกแบบที่เหมาะสมและการใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านแดดและฝนให้มากที่สุด  

“The design of bamboo buildings and the choice to use bamboo as a construction material are undoubtedly environmentally friendly. This is because the suitable source of bamboo for construction involves only a 4-5 year growth and harvesting cycle, and the treatment process does not deplete resources or create pollution. After use, when buildings are eventually demolished, the structural remnants can biodegrade without significant environmental impact. 

Expanding further, utilizing bamboo not only minimizes environmental harm but also benefits the environment. Bamboo is a fast-growing plant that absorbs carbon dioxide during its growth, thus utilizing more bamboo contributes positively to the environment!” 

งานออกแบบอาคารไม้ไผ่นั้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน การเลือกใช้ไผ่มาเป็นวัสดุในการก่อสร้างนั้น เนื่องจากที่มาของไผ่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้าง มีขั้นตอนการเก็บปลูก การเก็บเกี่ยว เพียงช่วงระยะเวลา 4-5 ปี เท่านั้นก็สามารถนำมาใช้งานได้และกระบวนการยืดอายุการใช้งานของไผ่ (Treatment) ก็ไม่ได้ใช้ทรัพยากรหรือสร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อม หลังการนำไผ่ไปใช้งาน เมื่ออาคารนั้นผ่านการใช้งานอย่างยาวนานจนหมดอายุขัย ตัวอาคารถูกรื้อถอนและเศษโครงสร้างสามารถย่อยสลายได้ กล่าวได้ว่า การได้มาซึ่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างและภายหลังจากอาคารหมดอายุขัย ทุกกระบวนการแทบจะไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเลย และถ้าพูดให้กว้างกว่าเดิม กลับเป็นการสร้างประโยชน์ให้สิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากไผ่เป็นพืชที่โตเร็ว มีปริมาณการดูดซับคาร์บอนไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตจึงมีมาก ดังนั้น ยิ่งใช้ไผ่เยอะ ยิ่งช่วยโลกได้! 

Bamboo is a 100% natural material, which means using natural materials comes with certain limitations of the material itself. In the case of bamboo, its limitations include susceptibility to sunlight, rain, and insect damage. 

Sunlight and rain susceptibility can be addressed through design, while insect issues can be mitigated through treatment, which has various methods utilized both in Thailand and internationally. 

As for the lifespan of bamboo, it can be roughly estimated at around 30 years for modern–style bamboo buildings constructed around three decades ago. However, traditional bamboo buildings found in indigenous communities may have lifespans of up to 100 years. 

Discussing durability and lifespan this year, bamboo is still a relatively new material compared to concrete, which has been used for over 7,600 years. If concrete were a person at 100 years old, bamboo would only be around 4 months old. We are still in an era where bamboo is considered a very new material, so confidence or proof cannot be compared to concrete. However, in our future, bamboo usage can certainly be developed collaboratively. 

ไผ่เป็นวัสดุธรรมชาติ 100% นั่นหมายถึงการใช้วัสดุธรรมชาติจะต้องตามมาด้วยข้อจำกัดบางอย่างของตัววัสดุ ในส่วนของไผ่ ข้อจำกัดของมันคือการทนแดดทนฝนและการกัดกินของแมลง  

การทนแดดทนฝนสามารถแก้ไขได้ด้วยการออกแบบ ส่วนเรื่องแมลงเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ด้วยการ Treatment เพื่อป้องกันแมลง ซึ่งมีหลากหลายวิธีการใช้อยู่ทั้งในไทยและต่างประเทศ 

ถ้าจะตอบว่าอายุการใช้งานของไผ่เท่าไหร่ อาจตอบได้โดยคร่าวว่า 30 ปี เนื่องจากอาคารไผ่ที่มีอยู่โดยรูปแบบวิธีการสร้างสมัยใหม่ นั้นถูกสร้างเมื่อ 30 ปีที่แล้ว  

แต่ถ้าพูดถึงอาคารไผ่ที่มีอายุยาวนานที่สุด ที่พบในหมู่บ้านของชาวชาติพันธุ์ อาจมีอายุถึง 100 ปีแล้ว 

ในปีนี้การจะพูดถึงความคงทนและอายุการใช้งาน 

ไผ่เป็นวัสดุใหม่มากถ้าเทียบกับคอนกรีตที่ถูกใช้งานครั้งแรกๆ เมื่อกว่า 7,600 ปีที่แล้ว เมื่อเทียบเป็นอายุคนคอนกรีตเป็นคนอายุ 100 ปี แต่ไผ่เป็นเด็กอายุเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น เรายังอยู่ในยุคที่ไผ่เป็นวัสดุที่ใหม่มากๆ ดังนั้นความเชื่อมั่น หรือการพิสูจน์จึงไม่สามารถเทียบเท่ากับคอนกรีตได้ แต่อนาคตของเรา การใช้ไผ่เราสามารถร่วมสร้างไปด้วยกันได้